กว่าจะก้าวผ่านการเป็นเด็กหญิงช่างยากเย็น ชีวิตในบ้านหลังเล็ก ๆ ของน้องพริ้ง มีเพียงแม่ซึ่งสุขภาพไม่แข็งแรงและเธอเท่านั้น พ่อเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อนด้วยโรคไตวาย ตอนนี้น้องพริ้งอายุ 14 ปี เธอช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวมาตลอดทั้งปลูกผัก เลี้ยงไก่ ปลูกเห็ด ด้วยความที่เป็นครอบครัวชาวนา แม่ของน้องพริ้งเป็นโรคความดันสูง ทว่าทางเลือกของชีวิตไม่ได้มีมากนัก การทำงานหนักกลางแดดนาน ๆ เป็นสิ่งต้องห้าม แต่บ่อยครั้งก็ต้องอดทนทำไม่ว่าจะรับจ้างดำนา ถอนกล้า เกี่ยวข้าว เพราะครอบครัวของเธอไม่มีที่ทำกิน แม่จึงต้องไป รับจ้างเพื่อหารายได้มาเลี้ยงดูน้องพริ้ง จนกระทั่งต้องป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล
กตัญญูดูแลแม่ ช่วยงานบ้าน ทำงานพิเศษเสริมสารพัด
น้องพริ้งไม่เคยปล่อยให้แม่ทำงานหนักอยู่ลำพัง เธอคอยช่วยแบ่งเบาภาระในบ้าน หลังเลิกเรียนเธอ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ซักผ้าหุงหาอาหาร และหารายได้เสริมจากการเพาะเห็ดนางฟ้าในโรงเพาะเล็ก ๆ ปลูกผักสวนครัว และทยอยเก็บไข่ไก่ไปฝากขายที่ร้านของน้า จนวันหยุดเสาร์อาทิตย์แม่และน้องพริ้งจะทำกล้วยแขกไปขายหน้าร้านเสื้อผ้ามือสองของป้า โดยน้องพริ้งมีหน้าที่เตรียมของและไปส่งขนมให้ลูกค้าถึงบ้านในละแวกใกล้เคียง การทุ่มเททำงานหนักของทั้งสองแม่ลูกพอจะช่วยให้มีรายได้อยู่บ้าง แต่ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นตลอดเวลา เพราะเมื่อไรที่แม่ล้มป่วย รายได้ก็จะขาดหายในทันที ขณะที่รายจ่ายของน้องพริ้งซึ่งอยู่ในช่วงวัยเรียนมีสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งค่ารถไปโรงเรียน ค่าอาหาร
จากผู้รับสู่ความฝันการเป็นผู้ให้
สุขภาพของแม่รวมถึงสาเหตุการจากไปของพ่อ เป็นแรงผลักดันให้น้องพริ้งมีความฝันว่าอยากเป็นพยาบาล เพราะนอกจากจะเป็นอาชีพที่มั่นคงและได้ช่วยเหลือชีวิตคนอื่น จะได้นำความรู้มาดูแลแม่ได้อีกทาง การที่แม่ป่วยแบบนี้เป็นความทุกข์ใจของเธออย่างมาก น้องพริ้งหวังว่าสักวันเธอจะได้เห็นแม่หายเป็นปกติ ไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไป น้องพริ้งเป็นเด็กตั้งใจเรียน เรียนดี ปีล่าสุดก็ได้เกรดเฉลี่ย 3.57 ทั้ง ๆ ที่ต้องหยุดเรียนมาดูแลแม่ช่วงที่ป่วยหนักอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอก็ยังมุ่งมั่นเรียนตามเพื่อนให้ทัน และพยายามทำให้ได้ดีด้วย
จะถึงฝันได้ แค่ตั้งใจคงไม่พอ
แต่ปัจจัยที่จะพาไปถึงฝันไม่ได้มีแค่ความตั้งใจและผลการเรียนเท่านั้น แต่ทุนการศึกษายังเป็นอุปสรรคที่อาจจะหยุดเส้นทางพยาบาลของน้องพริ้งลงได้ทุกเมื่อ ทุกวันนี้น้องพริ้งและแม่อยู่ได้ด้วยน้ำใจของคนรอบข้าง ตั้งแต่น้าให้ยืมที่ทำกิน น้ำใจต่าง ๆ จากเพื่อนบ้าน ถ้าเส้นทางฝันของเธอยังไปได้ต่อ น้องพริ้งบอกว่าหลังเรียนจบ ตั้งใจกลับมาช่วยพัฒนาชุมชนด้านสุขภาพ
“หนูเห็นภาพความเจ็บป่วยของพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก เลยอยากเป็นพยาบาลมาดูแลแม่ มาดูแลคนอื่น ๆ ในชุมชน แล้วถ้าเรากลับมาอยู่ที่บ้าน เราก็จะได้ทำการเกษตรไปด้วย ทำไร่ทำนาตามวิถี ควบคู่ไปกับการเป็นพยาบาลช่วยดูแลชีวิตคนอื่นค่ะ แม่บอกว่ายิ่งเราจน เราลำบาก หนูยิ่งต้องตั้งใจเรียน จะได้เรียนสูง ๆ เรียนจบจะได้มีงานดี ๆ ทำ แล้วบ้านเราจะสบาย หนูเชื่อแม่มาตลอดค่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม แต่หนูก็ไม่เคยยอมแพ้ หนูยังมีแม่ที่รอดูความสำเร็จของหนูอยู่ค่ะ”
มีฝัน ใจสู้...แต่ยังอยู่บนความเสี่ยง
“หนูอยากเรียนต่อจนจบปริญญาตรี แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าจะได้เรียนต่อหรือเปล่า”
“ที่โรงเรียน หนูตั้งใจเรียนและช่วยงานคุณครู ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียนเวลามีงานต่าง ๆ หนูจะอาสาตัวเองช่วยงานเพื่อน ๆ ช่วยงานคุณครูทำให้คุณครูทุกคนใจดีกับหนูมาก ๆ เพราะหนูมักจะไปช่วยงานและมีน้ำใจกับคนอื่น ๆ เสมอ หนูชอบเรียนหนังสือ และอยากเรียนหนังสือให้สูง ๆ แต่หนูก็ยังกลัว กลัวว่าถึงแม้หนูจะตั้งใจแค่ไหน หนูก็อาจจะได้เรียนจนจบชั้น ม.3 เท่านั้น เพราะอย่างที่ทราบกันดี บ้านหนูจนมาก แทบไม่มีรายได้อะไรเลย”
ปัจจุบันน้องพริ้งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นับเป็นช่วงชั้นรอยต่อที่เป็นความเสี่ยงสำหรับเด็กกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดจากระบบการศึกษา เพราะเมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว ถ้าหากขาดการสนับสนุนด้านทุนการศึกษา น้องพริ้งอาจเป็นหนึ่งในเด็กที่ต้องยุติการเรียนลงแค่นี้ ที่ผ่านมาชีวิตและเส้นทางความฝันของน้องพริ้ง ขึ้นอยู่กับแม่ที่ร่างกายไม่แข็งแรงและการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคนรอบข้าง แต่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าอนาคตการอุปถัมภ์ช่วยเหลือที่มีเพียงเท่านี้จะไหวหรือมีต่อไปได้นานแค่ไหนจนกว่าจะมีการช่วยเหลือที่ช่วยให้ชีวิตรวมถึงอนาคตของเด็กคนนี้ได้ไปต่อ